วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

การพูดในที่ชุมชน

การพูดในที่ชุมชน



การพูดในที่ชุมชน คือ การพูดในที่สาธารณะ มีผู้ฟังเป็นจำนวนมาก ผู้พูดต้องสนใจปฏิกิริยาตอบสนองผู้ฟัง ทั้งเป็นวัจนภาษาและอวัจนภาษาการพูดต่อหน้า
ประชุมชนเป็นการเปิดโอกาส ให้ผู้พูดได้แสดงความสามารถเฉพาะตัวเพราะทุกคนที่ไม่เป็นใบ้ย่อมพูดได้ แต่บางคนเท่านั้นที่พูดเป็น เพราะการพูดเป็นทั้งศาสตร์
และศิลป์ ไม่จำเป็นต้องอาศัยพรสวรรค์เสมอไปแต่สามารถพูดได้ เพราะการศึกษา การฝึกฝน ฉะนั้นการฝึกพูดในที่ประชุมชน ซึ่งเป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่งในการปรับปรุง
บุคลิกภาพทั้งภายในและภายนอกเพื่อการเป็นนักพูดที่ดี
 
วิธีการพูดในที่ชุมชน
       1. พูดแบบท่องจำ
           เตรียมเรื่องพูดอย่างมีคุณค่า สาระถูกต้องเหมาะสม แล้วจำเรื่องพูดให้ได้ เวลาพูดให้เป็น ธรรมชาติ มีลีลา จังหวะ ถ่ายทอดออกมาทุกตัวอักษร
       2. พูดแบบมีต้นฉบับ
           พูดไปอ่านไป จากต้นร่างที่เตรียมมาอย่างดีแล้ว แต่ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาอ่าน เพราะไม่ใช่ ผลดีสำหรับผู้พูด
       3. พูดจากความเข้าใจ
           เตรียมเรื่องพูดไว้ล่วงหน้า ถ่ายทอดสารจากความรู้ความเข้าใจของตนเอง มีต้นฉบับ เฉพาะหัวข้อสำคัญเท่านั้น เช่น การพูด , สนทนา , อภิปราย , สัมภาษณ์
       4. พูดแบบกะทันหัน
          พูดโดยไม่มีโอกาสเตรียมตัวเลย ซึ่งผู้พูดต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบในการแก้ปัญหาฉพาะหน้า เมื่อทราบว่าตนเองต้องได้พูด ต้องเตรียมลำดับความคิด
และนำเสนออย่างฉับพลัน การพูดทั้ง 4 แบบนี้ เป็นวิธีการนำเสนอสารต่อผู้ฟัง ผู้พูดจะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมาย เพื่ออะไร เนื้อหาสาระ โอกาส และสถานการณ์
 
การพูดในที่ชุมชนตามโอกาสต่างๆ 
       
      
การพูดในที่ประชุมชนตามโอกาสต่าง ๆ จำแนก เป็น 3 ประเภท ดังนี้
         1. การพูดอย่างเป็นทางการ
            เป็นการพูดในพิธีต่าง ๆ มีการวางแผนแนวปฏิบัติไว้อย่างชัดเจน เช่น การปราศรัยของนายกรัฐมนตรี การให้โอวาทของผู้อำนวยการโรงเรียนในวันปฐมนิเทศ
การพูดสุนทรพจน์ของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ การอภิปรายในรัฐสภา ฯลฯ
         2. การพูดอย่างไม่เป็นทางการ
            เป็นการพูดที่ให้บรรยากาศเป็นกันเอง เช่น พูดเพื่อนันทนาการในกิจกรรมต่าง ๆ การพูดสังสรรค์งานชุมนุมศิษย์เก่า การพูดเรื่องตลกในที่ประชุม
การกล่าวอวยพรตามโอกาสต่าง ๆ ในงานสังสรรค์
         3. การพูดกึ่งทางการ
            เป็นการพูดที่ลดความเป็นแบบแผนลง เช่น พูดอบรมนักเรียนในคาบจริยธรรม การกล่าว
ต้อนรับผู้มาเยี่ยมชม การกล่าวขอบคุณผู้ช่วยเหลือกิจกรรม กล่าวบรรยายสรุปแก่ผู้เข้าชมตามสถานที่ต่าง ๆ
            อนึ่ง การพูดในที่ประชุมแต่ละครั้งจะเป็นการพูดประเภทใด ผู้พูดต้องวิเคราะห์โอกาส
และสถานการณ์ แล้วเตรียมศิลปะการใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาสนั้น เพื่อที่จะพูดได้ถูกต้อง ไม่เก้อเขิน เข้ากับบรรยากาศได้ดี มีความประทับใจ
 
การเตรียมตัวพูดในที่ชุมชน
การพูดในที่ประชุมชนเนื่องจากมีผู้ฟังเป็นจำนวน มาก ผู้ฟังตั้งความหวังจะได้รับความรู้และสาระประโยชน์จากการฟัง ผู้พูดจึงต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดี
มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าแสดงออกจะช่วยให้ผู้พูดประสบความสำเร็จได้ผู้พูดจะเตรียมตัวอย่างไรบ้าง จึงขอเสนอหลักกว้างดังนี้
         1. กำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนว่าจะพูดอะไร เพื่ออะไร มีขอบข่ายกว้างขวางมากน้อย เพียงใด
         2. วิเคราะห์ผู้ฟัง พิจารณาจำนวนผู้ฟัง เพศ วัย การศึกษา สถานภาพทางสังคม อาชีพ ความสนใจ ความมุ่งหวัง และทัศนคติ ที่กลุ่มผู้ฟังมีต่อเรื่องที่พูด
และตัวผู้พูดเพื่อนำข้อมูลมาเตรียมพูด เตรียมวิธีการใช้ภาษาให้เหมาะกับผู้ฟัง
         3. กำหนดขอบเขตของเรื่อง โดยคำนึงถึงเนื้อเรื่องและเวลาที่จะพูด กำหนดประเด็น สำคัญให้ชัดเจน
         4. รวบรวมเนื้อหา ต้องจัดเนื้อหาที่ผู้ฟังได้รับประโยชน์มากที่สุด การรวบรวมเนื้อหาทำได้ หาได้จากการศึกษา ค้นคว้าจากการอ่านการสัมภาษณ์ ไต่ถามผู้รู้
ใช้ความรู้ความสามารถ แล้วจดบันทึก
         5. เรียบเรียงเนื้อเรื่อง ผู้พูดจัดทำเค้าโครงเรื่องให้ชัดเจนเป็นไปตามลำดับ จะกล่าวเปิดเรื่องอย่างไร เตรียมการใช้ภาษาให้เหมาะสม กะทัดรัด เข้าใจง่าย ตรงประเด็น
พอเหมาะกับเวลา
         6. การซ้อมพูด เพื่อให้แสดงความมั่นใจต้องซ้อมพูด ออกเสียงพูดอักขรวิธี มีลีลาจังหวะ ท่าทาง สีหน้า สายตา น้ำเสียง มีผู้ฟังช่วยติชมการพูด
มีการบันทึกเสียงเป็นอุปกรณ์การฝึกซ้อม ในกรณีเป็นการพูด แบบฉับพลัน ผู้พูดไม่รู้ตัวมาก่อน หรือรู้ล่วงหน้าเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เช่น กล่าวอวยพรในงานมงคล
สมรส กล่าวแสดงความยินดี กล่าวแสดงความคิดเห็นในนาม ของแขกผู้มีเกียรติ ผู้พูดส่วนน้อยที่พูดได้อย่างไม่เคอะเขิน ผู้พูดที่มีประสบการณ์สามารถสร้าง
บรรยากาศได้ดี แต่ผู้พูดเป็นจำนวนมากยังเคอะเขินจึงขอเสนอข้อแนะนำในการพูด ดังนี้
            •  เมื่อได้รับเชิญให้พูด อย่าตกใจ จงภูมิใจที่ได้รับเกียรติ ลุกขึ้นเดินไปอย่างสง่าผ่าเผย กล่าวทักทายต่อที่ประชุมให้เหมาะสมกับที่ประชุม พร้อมกับสังเกตสถานการณ์
แวดล้อม เริ่มประโยคแรกเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ฟังให้มากที่สุด
            •  พูดเรื่องที่ง่ายและใกล้ตัวที่สุด ลำดับเรื่องที่จะพูดก่อนหลัง โดยเสนอแนวคิดอย่างกระชับที่สุด พูดไปอย่างต่อเนื่อง พูดบทสรุปในตอนจบอย่างประทับใจ
พยายามรักษาเวลาที่กำหนดไว้
            •  ในกรณีที่เป็นการตอบคำถาม กล่าวทักทายหรือทำขั้นตอนอย่างสั้นๆ แล้วทวนคำถามให้กระชับ จึงตอบโดยลำดับเรื่องให้ตรงประเด็น ขยายความให้ชัดเจน
            •  ผู้พูดต้องมีปฏิภาณ ( ความสามารถในการแสดงความคิดที่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างฉับไว ) เรียบเรียงเนื้อเรื่องพูดได้ทันที
คิดได้เร็ว ฉะนั้น จึงฝึกหัดให้คิด เร็ว ๆ ไว้บ่อย ๆ จะได้ช่วยได้มาก
 
การพูดประเภทต่างๆ ในที่ชุมชน  
          1. สุนทรพจน์
             สุนทรพจน์ หมายถึง คำพูดที่ดีงาม ไพเราะจับใจ การพูดสุนทรพจน์มักมีในพิธีสำคัญ เช่น พิธีต้อนรับแขกเมืองคนสำคัญ พิธีได้รับตำแหน่งสำคัญ
เช่น นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีหรือกล่าวในงานฉลองระลึกถึงบุคคลสำคัญ วันสำคัญ ระดับชาติ หรือเป็นการกล่าวในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อสร้างสรรค์จรรโลงใจ
เป็นคำพูดที่แสดงความปรารถนาดีในทางการเมือง การกล่าวสุนทรพจน์เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง มักได้รับการยกย่องว่าเป็นการพูดชั้นยอด ลักษณะสุนทรพจน์
              •  ใช้ถ้อยคำไพเราะลึกซึ้งกินใจ จับใจ
              •  โน้มน้าวให้ผู้ฟังเห็นคล้อยตาม
              •  กระตุ้นผู้ฟ้ง มีความมั่นใจ และยินดีร่วมมือ
              •  สร้างบรรยากาศให้เกิดความหรรษา และให้ความสุขแก่ผู้ฟัง

           โครงสร้างทั่วไปของสุนทรพจน์
            1.  ตอนเปิดเรื่อง กระตุ้นให้ผู้ฟังเห็นความสำคัญของเรื่องที่จะพูด   
            2.  ดำเนินเรื่อง ประกอบด้วยเนื้อหาสาระลำดับความสำคัญอย่างชัดเจน
            3.  ตอนจบเรื่อง สรุปความทิ้งท้ายให้ผู้ฟังนำไปคิด หรือฝากไว้ในความทรงจำตลอดไป

           ลักษณะสุนทรพจน์ทางการเมือง
            1.  การอภิปราย ให้รัฐสภาหรือชุมชนกล่าวถึงปัญหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับส่วนได้ส่วนเสียของหมู่คณะ
            2.  การแถลงคารม เป็นการพูดจาในศาลระหว่างทนายโจทย์ ทนายจำเลย เพื่อชี้ประเด็นให้ผู้ฟัง ผู้พิพากษา เห็นข้างฝ่ายตน
            3.  การพูดประณาม เป็นการพูดยกย่องหรือตำหนิการกระทำของบุคคลสำคัญ ฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน เป็นการชมเชยสนับสนุนหรือแสดงความไม่เห็นด้วย
การพูดทางการเมืองจะประสบความสำเร็จ ต้องพูดให้ผู้ฟังสะดุดใจ ชวนฟัง ประกอบด้วยคารม โวหาร ภาพพจน์ ที่เตรียมไว้เป็นอย่างดี ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นต้องแทรกอารมณ
์ขันช่วยผ่อนคลายความเครียด
                       
  ความรู้เพิ่มเติมเรื่อง สุนทรพจน์
            โครงสร้างสุนทรพจน์ ขั้นตอนของสุนทรพจน์
                 1. คำนำ หรือการเริ่มต้น (Introduction)
                 2. เนื้อเรื่อง หรือสาระสำคัญของเรื่อง (Discussion)
                 3. สรุปจบ หรือการลงท้าย (Conclusion)
                 4. " ขึ้นต้นให้ตื่นเต้น ตอนกลางให้กลมกลืน และตอนจบให้จับใจ"

คำนำ
5 - 10 %
เนื้อเรื่อง
80 -90%
สรุปจบ
5 - 10 %
ข้อพึงหลีกเลี่ยงในการขึ้นต้น 
                   •  อย่าออกตัว
                   •  อย่าขออภัย
                   •  อย่าถ่อมตน
                   •  อย่าอ้อมค้อม

           หลักในการขึ้นต้นมีอยู่ว่า
                   •  ขึ้นต้นแบบพาดหัวข่าว (Headline)
                   •  ขึ้นต้นด้วยคำถาม (Asking Question)
                   •  ขึ้นต้นด้วยการทำให้ผู้ฟังสงสัย (Interest Arousing)
                   •  ขึ้นต้นด้วยการอ้างบทกวี หรือวาทะของผู้มีชื่อเสียง (Quousing)
                   •  ขึ้นต้นให้สนุกสนาน (Entertainment)

        ข้อพึงหลีกเลี่ยงในการสรุปจบ
                  1. ขอจบ ขอยุติ
                  2. ไม่มากก็น้อย
                  3. ขออภัย ขอโทษ
                  4. ขอบคุณ
           หลักในการสรุปจบมีอยู่ว่า มีความหมายชัดเจน ไม่เลื่อนลอยสัมพันธ์กับเนื้อเรื่อง และหัวข้อเรื่อง กระทัดรัดไม่เยิ่นเย้อ พุ่งขึ้นสู่จุดสุดยอดของสุนทรพจน

       วิธีสรุปจบที่ได้ผล
                 •  จบแบบสรุปความ
                 •  จบแบบฝากให้ไปคิด
                 •  จบแบบเปิดเผยตอนสำคัญ
                 •  จบแบบชักชวนและเรียกร้อง
                 •  จบด้วยคำคม คำพังเพย สุภาษิต
 
2. โอวาท
โอวาท คือ คำแนะนำตักเตือน คำสอนที่ผู้ใหญ่ให้แก่ผู้น้อย โอวาทของเจ้านายเรียกพระโอวาท ของพระเจ้าแผ่นดิน เรียก พระบรมราโชวาท
            ลักษณะของโอวาท

           •  เนื้อหามีคติเตือนใจ มีเหตุผล ไม่ยืดยาว
            •  เป็นการแสดงความปรารถนาดี บางครั้งอาจกล่าวตำหนิตรง ๆ บ้าง
            •  อาจนำไปประพฤติปฏิบัติได้จริง ผู้ฟังต้องฟังด้วยความเคารพ และยินดีที่จะนำคำสอน คำชี้แนะไปปฏิบัติ
 
3. คำปราศรัย
คำปราศรัย มีลักษณะคล้ายการแสดงสุนทรพจน์ในด้านเนื้อหา ภาษา และทัศนคติของผู้กล่าว ซึ่งสามารนำไปปฏิบัติได้ คำปราศรัยเป็นการพูดที่เป็นพิธีกา
รจึงต้องมีการตระเตรียมมาก่อนเป็นอย่างดี

             ลักษณะของคำปราศรัย
                •  พูดถึงความสำคัญของโอกาสนั้น
                •  เน้นความสำคัญของสิ่งนั้น ๆ
                •  ชี้แจงความสำเร็จ หรือผลงานที่ผ่านมา
                •  กล่าวถึงอดีต ปัจจุบัน และความหวังในอนาคต และอวยพรให้เกิดความหวังใหม่ ๆ
 
4. คำไว้อาลัย
คำกล่าวไว้อาลัย มี 2 ลักษณะ คือ ใช้สำหรับงานศพ คือ พูดถึงคุณความดีของผู้เสียชีวิต ใช้สำหรับงานเลี้ยงส่ง ผู้ที่จากไปรับตำแหน่งใหม่ลาออก
หรือเกษียณอายุ นิยมเรียกว่า อำลาอาลัย

            ลักษณะทั่วไปของคำกล่าวไว้อาลัย
             •  กล่าวถึงประวัติผู้ตายหรือผู้ที่จากไปอย่างสั้นๆ
             •  กล่าวถึงผลงานของผู้นั้น ( ข้อ 1)
             •  สาเหตุของการเสียชีวิต หรือจากไป
             •  กล่าวถึงความอาลัยของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
             •  แสดงความว่าที่ผู้จากไป จะไปอยู่สถานที่ดีและมีความสุข
 
5. กล่าวอวยพร
1. อวยพรขึ้นบ้านใหม่
                กล่าวถึงความสำเร็จของครอบครัวในการสร้างหลักฐานความซื่อสัตย์สุจริต และขยันหมั่นเพียรของเจ้าของบ้านอวยพรให้ประสบความสุข
 2. อวยพรวันเกิด
                ความสำคัญของวันนี้ คุณความดีของเจ้าภาพ และ ความเจริญเติบโต ก้าวหน้า หรือเป็นที่พึ่งของบุตรหลาน อวยพรให้เป็นสุขอายุยืนยาว
3. อวยพรคู่สมรส
                 ความสัมพันธ์ของผู้กล่าวกับคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ความดีที่ทั้งสองรักกัน และการแนะนำหลักการครองชีวิต อวยพรให้เป็นสุข
 
6. กล่าวสดุดี
1. กล่าวมอบวุฒิบัตร หรือประกาศนียบัตร
                 บอกความหมาย และความสำคัญของวุฒิบัตร ความเหมาะสมของผู้ได้รับประกาศนียบัตร มอบวุฒิบัตร และปรบมือให้เกียรติ
 2. กล่าวสดุดีบุคคลสำคัญ
                 กล่าวนาม , กล่าวชีวประวัติ ผลงาน งานที่เป็นมรดกตกทอด ยืนยันสืบทอดคุณความดี แสดงคารวะและปฏิญาณร่วมตนร่วมกัน
 
7. กล่าวมอบรางวัล หรือตำแหน่ง
1. กล่าวมอบรางวัล หรือตำแหน่ง
                 ชมเชยความสามารถ และความดีเด่นของผู้ได้รับรางวัล หรือตำแหน่ง ความหมายและเกียรตินิยมของรางวัลหรือตำแหน่ง ฝากความหวังไว้กับผู้ที่จะรับรางวัล
หรือดำรงตำแหน่งมอบรางวัล หรือของที่ระลึกปรบมือให้เกียรติสำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลกล่าวขอบคุณ กล่าวยืนยันที่จะรักษารางวัลเกียรติยศนี้

2. กล่าวรับมอบตำแหน่ง
                ขอบคุณที่ได้รับความไว้วางใจ และให้เกียรติ ชมเชยคณะกรรมการชุดเก่า ( ในข้อดีจริงๆ ) ที่กำลังหมดวาระ แถลงนโยบายโดยย่อ
ใช้คำสัญญาที่จะรักษาเกียรติ และทำหน้าที่ดีที่สุด พร้อมกับขอความร่วมมือจาก คณะกรรมการและสมาชิกทุกคน
 
8. กล่าวต้อนรับ
1. ต้อนรับสมาชิกใหม่
               
ความสำคัญและความหมายของสถาบัน หน้าที่และสิทธิ์ที่สมาชิกจะพึงได้รับกล่าวต้อนรับมอบของที่ระลึก ( เข็มหรืออื่น ๆ ) ถ้ามี
 2. ต้อนรับผู้มาเยือน
                
เล่าความเป็นมาของสถาบันโดยย่อ กล่าวแสดงความรู้สึกยินดีที่ได้ต้อนรับมอบของที่ระลึก แนะนำให้ที่ประชุมรู้จัก และเชิญกล่าวตอบ
 
9. ปาฐกถา
การแสดงปาฐกถา คือ การพูดถึงความรู้ ความคิด นโยบายแสดงเหตุผล และสิ่งที่น่าสนใจผู้ที่แสดงปาฐกถา ย่อมต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง
ในเรื่องนั้น ๆ การแสดงปาฐกถาไม่ใช่การสอนวิชาการ แต่มีข้อเสนอแนะ หรือข้อคิดเห็นสอดแทรก และไม่ทำให้บรรยากาศเคร่งเครียด
             มีหลักการแสดงปาฐกถาดังนี้
              
 •  พูดตรงตามหัวข้อกำหนด
                   •  เนื้อหาสาระให้ความรู้ มีคำอธิบายตัวอย่างให้ฟังเข้าใจได้รวดเร็ว
                   •  สร้างทัศนคติที่ดีต่อเรื่องที่พูด
 
10. การพูดเป็นพิธีกร และโฆษก
พิธีกร หมายถึง ผู้ทำหน้าที่ดำเนินรายการในกิจการนั้น ๆ ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายพิธีกรจะเป็นผู้ทำให้รายการนั้นน่าสนใจมากน้อยเพียง ใด
ต้องทำหน้าที่ประสานประโยชน์ให้เกิดแก่ผู้ฟัง และผู้ร่วมรายการ หรือ คือ ผู้ประสานความเข้าใจอันดีระหว่างผู้แสดงในรายการนั้นกับผู้ฟัง ผู้ชม
โฆษก ( โคสก ) หมายถึง ผู้ประกาศ , ผู้โฆษณา มีหน้าที่ติดต่อสื่อความหมายระหว่างผู้รับเชิญ กับผู้ชม หรือผู้ฟัง
            ข้อแนะนำสำหรับผู้ทำหน้าที่พิธีกร และโฆษก
      
•  มีบุคลิกภาพดี
       •  ขณะพูดหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มีชีวิตชีวา ใจเย็น พูดจาไพเราะนิ่มนวล
       •  มีปฏิภาณไหวพริบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ มีความคล่องตัว สร้างบรรยากาศให้มีความเป็นกันเอง
       •  พูดให้สั้น ได้เนื้อหาสาระ ใช้ถ้อยคำสละสลวย เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ กระตือรือร้นอยากฟัง
       •  ศึกษาเรื่องราวที่จะต้องทำหน้าที่นำเสนอรายการเป็นอย่างดี จัดลำดับการเสนอสาระอย่างมีขอบเขต มีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ที่จะต้องทำ และมีความรับผิดชอบ
 
การเป็นพิธีกร
การเป็น " พิธีกร " นั้น ไม่ใช่สักแต่ว่า " มือถือไมค์ ไฟส่องหน้า " ใคร ๆ ก็เป็นได้ หากแต่ต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญ ความเข้าใจ และปฏิภาณไหวพริบหลาย ๆ
อย่างมาประกอบกันเพื่อทำให้งานดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางพิธีกร ไม่ใช่ผู้ประกาศ พิธีกรไม่ใช่ตัวตลก พิธีกรไม่ใช่ผู้โฆษณา พิธีกรไม่ใช่ผู้ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์
และพิธีกรไม่ใช่ผู้พูดสลับฉากบนเวที แต่ พิธีกรเป็นที่รวมของบทบาทหน้าที่อย่างน้อย 4 ประการ คือ
                   •  เป็นเจ้าของเวที (Stage Owner)
                   •  เป็นผู้ดำเนินรายการ (Program Monitor)
                   •  เป็นผู้แก้สถานการณ์เฉพาะหน้า (Situation Controller)
                   •  เป็นผู้ประสานงานบันเทิงและสังคม (Social Linkage)
              ดังนั้น พิธีกร จึงต้องมีความรู้พื้นฐาน 4 อย่าง คือ
                   •  รู้ลำดับรายการ
                   •  รู้รายละเอียดของแต่ละรายการ
                   •  รู้จักผู้เกี่ยวข้องในแต่ละรายการ ( ใครจะมารับช่วงเวทีต่อไป )
                   •  รู้กาลเทศะ ( ไม่เล่นหรือล้อเลียนจนเกินขอบเขต ต้องมีความพอดี )
โอกาสต่าง ๆ ในการเป็นพิธีกร ได้แก่
•  ผู้ดำเนินรายการบนเวทีในงานแสดงต่างๆ เช่น ดนตรี ละคร โชว์ ฯลฯ|
•  เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย โต้วาที ยอวาที แซววาที
•  แนะนำองค์ปาฐก ผู้บรรยายรับเชิญ
•  จัดรายการทางวิทยุกระจายเสียง
•  จัดรายการทางโทรทัศน์
•  ดำเนินรายการในงานพระราชพิธี งานพิธี และงานมงคลต่างๆ
•  เป็นโฆษกของพรรคการเมืองในการปราศรัยหาเสียง หรือในงานต่างๆ

เทคนิค 7 ประการในการเป็นพิธีกร
•  ต้องมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ( พักผ่อนเพียงพอ )
•  ต้องมาถึงบริเวณงานก่อนเวลา ( อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง )
•  สำรวจความพร้อมของเวที แสง สี และเสียง ( ทดสอบจนแน่ใจ )
•  เปิดรายการด้วยความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า
•  ดึงดูดความสนใจมาสู่เวทีได้ตลอดเวลา ( ทุกครั้งที่พูด ) อย่าทิ้งเวที
•  แก้ปัญหาหรือควบคุมสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างดี
•  ดำเนินรายการจนจบ หรือบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

การร้อยเรียงประโยค

การร้อยเรียงประโยค


การร้อยเรียงประโยค
การแสดงความคิดเพื่อสื่อสารกันนั้น บางโอกาสผู้ส่งสารใช้ประโยคที่ผูกขึ้นให้รัดกุมและถูกต้องตามระเบียบของภาษาเพียงประโยคเดียวก็สื่อความหมายได้ชัดเจนเช่น คำขวัญที่ว่าตัวตายดีกว่าชาติตายหลักการร้อยเรียงประโยคและวิธีวิเคราะห์การร้อยเรียงประโยคนักเรียนต้องมีความรู้เกี่ยวกับส่วนประกอบของประโยค    ลำดับคำในประโยค   ความยาวของประโยคและเจตนาของผู้ส่งสารในประโยค
ส่วนประกอบของประโยค
ประโยคมีส่วนประกอบสำคัญ ๒ ส่วนคือ ภาคประธานและภาคแสดง เช่นผู้หญิงชอบน้ำหอม
ภาคประธาน
ภาคแสดง
ผู้หญิง
ชอบน้ำหอม
โดยปกติ ภาคประธานเป็นส่วนที่ผู้ส่งสารมักกล่าวถึงก่อน  ส่วนภาคแสดงนั้นเป็นส่วนที่บอกว่าสิ่งที่กล่าวถึงนั้นทำอะไร  อยู่ในสภาพใด หรือเป็นอะไร ผู้พูดอาจเพิ่มรายละเอียดเข้าไปในประโยคโดยเพิ่มคำบางคำ เช่น  ผู้หญิงคนนั้นชอบน้ำหอมราคาแพง  หรืออาจเพิ่มประโยคเข้าไปทั้งประโยคทำให้มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น ผู้หญิงที่อยู่ในห้องสีขาวชอบน้ำหอมที่มีราคาแพงจากต่างประเทศ  ประโยคที่เพิ่มขึ้นอาจสัมพันธ์กับประโยคเดิมโดยมีคำเชื่อม และ  ถ้า  แต่ หรือ  จึง ฯลฯ
เช่น  ผู้หญิงชอบน้ำหอมส่วนผู้ชายชอบโคโลญจน์ 
ประโยคบางคู่ ประธานและ/หรือ  กรรมหรือกริยา  หรือส่วนขยายต่างกัน  เช่น
                ๑.            ก.   เขาฟังเพลงอย่างตั้งใจ
                                ข.   เขาฟังเพลงด้วยความตั้งใจ
                ๒.          ก.  หลักเกณฑ์การให้คะแนนมีมาก
                                ข. การให้คะแนนมีหลักเกณฑ์มาก
                ๓.          ก. แม่ชมเชยเขามาก
                                ข.  เขาได้รับการชมเชยจากแม่มาก
ตัวอย่างที่ ๑ ประโยค ก และ ข ต่างกันที่ส่วนขยาย      
ตัวอย่างที่ ๒  ประธานของประโยค ก กับประโยค ข  ต่างกัน และประโยค ก ไม่มีกรรม ประโยค ข มีกรรม
ตัวอย่างที่ ๓  ประธาน  กริยา  กรรม ของประโยค ก กับประโยค ข ต่างกัน  
                ประโยคบางคู่ มีความซับซ้อนต่างกัน เช่น
                ๑.           ก.  เขาไม่ซื้อของถูก
                   ข. เขาไม่ซื้อของที่มีราคาถูก
                ๒.         ก. เรื่องนี้ทุกคนรู้อยู่แล้ว
                                ข. เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว
                ประโยค ก ในตัวอย่างที่ ๑ และสองมีคำจำกัดความหมายคือ  ถูก  และ  นี้ ส่วนประโยค ข ใน ตัวอย่างที่ ๑ และ ๒ มีประโยคช่วยจำกัดความหมายคือ  ที่มีราคาถูก  และที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว
                ในบางกรณีผู้พูดอาจแสดงความคิดอย่างเดียวกันโดยใช้ประโยคหลาย ๆ ประโยคก็ได้  หรือรวมประโยคเหล่านั้นเข้าด้วยกันโดยใช้คำเชื่อมก็ได้ หรือทำให้กลายเป็นส่วนประกอบของอีกประโยคหนึ่งก็ได้
                ลำดับคำในประโยค
                การเรียงลำดับคำในภาษาไทยมีความสำคัญมาก เพราะถ้าลำดับคำต่างกันความสัมพันธ์ของคำในประโยคอาจผิดไป ทำให้ความหมายของประโยคเปลี่ยนไปได้ เช่น ฉันช่วยเธอ  และ เธอช่วยฉัน ผู้ทำและผู้ถูกกระทำจะต่างกัน ประโยคบางประโยคที่เปลี่ยนลำดับคำแล้วมีความหมายเปลี่ยนไปน้อยมากเช่น  เขาเป็นญาติกับตุ้ม  และตุ้มเป็นญาติกับเขา บางประโยคอาจเปลี่ยนลำดับคำที่หลากหลายโดยที่ความหมายยังคงเดิมเช่น
                เขาน่าจะได้พบกับเธอที่บ้านคุณพ่อคุณอย่างช้าพรุ่งนี้
                เธอน่าจะได้พบกับเขาที่บ้านคุณพ่อคุณอย่างช้าพรุ่งนี้
                พรุ่งนี้อย่างช้าเธอน่าจะได้พบกับเขาที่บ้านคุณพ่อคุณ
จะพบว่าทุกประโยคสื่อความหมายอย่างเดียวกันทำให้ทราบว่าผู้พบกันคือ เขากับเธอ สถานที่ที่พบคือ  บ้านคุณพ่อคุณ  และเวลาที่พบคือ  พรุ่งนี้เป็นอย่างช้า
                ความยาวของประโยค
                ประโยคอาจมีความแตกต่างกันที่ความสั้นยาว  ประโยคจะยาวออกไปได้เมื่อผู้พูดเพิ่มราละเอียดให้มากขึ้น รายละเอียดที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่  เวลาที่เกิดเหตุการณ์  ต้นเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ ฯลฯ นอกจากนั้นอาจเพิ่มความยาวของประโยคโดยหาคำขยายคำนามหรือกริยาในประโยคก็ได้
                เจตนาของผู้ส่งสาร
                เราอาจแบ่งประโยคตามเจตนาของผู้ส่งสารที่แสดงในประโยค ๆด้เป็น ๓ ประเภทคือ
                ๑.ประโยคแจ้งให้ทราบ  คือประโยคที่ผู้พูดบอกกล่าวหรือแจ้งเรื่องราวบางประการให้ผู้ฟังทราบ  หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าประโยคบอกเล่า เช่น  นักเรียนบางคนชอบร้องเพลง ถ้าประโยคแจ้งให้ทราบ        มีเนื้อความปฏิเสธ ก็จะมีคำปฏิเสธ เช่น  ไม่  มิ  หามิได้  อยู่ด้วยดังประโยค  นักเรียนบางคนไม่ชอบร้องเพลง 
                ๒.ประโยคถามให้ตอบ  คือ  ประโยคที่ผู้พูดใช้ถามเรื่องราวบางประการเพื่อให้ผู้ฟังตอบสิ่งที่ผู้พูดอยากรู้ หรือเรียกอีกอย่างว่าประโยคคำถาม ถ้าประโยคคำถามมีเนื้อความปฏิเสธ ก็จะมีคำปฏิเสธอยู่ด้วย
เช่น  ใครอยากไปเที่ยวบ้าง   เนื้อความปฏิเสธ    ใครไม่อยากไปเที่ยวบ้าง
                ๓.ประโยคบอกให้ทำ คือ  ประโยคที่ผู้พูดใช้เพื่อให้ผู้ฟังกระทำอาการบางอย่างตามความต้องการของผู้พูด เรียกว่าประโยคบอกให้ทำ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าประโยคคำสั่งหรือขอร้อง   ประธานของประโยคบอกให้ทำบางทีก็ไม่ปรากฏประธาน ถ้าผู้พูดต้องการเน้นคำกริยา และท้ายประโยคบอกให้ทำมักจะมีคำอนุภาค เช่น ซิ  นะ  เถอะ
หลักทั่วไปในการร้อยเรียงประโยค

ประโยคที่ร้อยเรียงกันอยู่นั้น  ทั้งเนื้อความและลักษณะของถ้อยคำในประโยคจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องต่อเนื่องกัน  เนื้อความในประโยคคือความคิดของผู้นำเสนอ  จะต้องมีลำดับและมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  หรือที่เรียกเป็นศัพท์เฉพาะทางวิชาการว่ามีเอกภาพ  ส่วนลักษณะถ้อยคำที่ทำให้ประโยคเกี่ยวข้องต่อเนื่องกันอาจเกิดจากวิธีต่าง ๆ ได้แก่  การเชื่อม  การแทน  การละและ การซ้ำ

การเชื่อม
การเชื่อมประโยคให้ต่อเนื่องกัน อาจใช้คำเชื่อมหรือเรียกว่า คำสันธาน หรือใช้กลุ่มคำเชื่อม หรือที่เรียกว่า สันธานวลี  ประกอบด้วย ข้อต่าง ๆดังนี้
๑. คำสันธานบางคำและสันธานวลีบางวลีแสดงว่า ประโยคหน้าและประโยคหลังมีเนื้อความ   คล้อยตามกัน เช่น  และ  ทั้ง  อนึ่ง  อีกประการหนึ่ง อีกทั้ง  รวมทั้ง  ตัวอย่างเช่น   ฉันตัดสินใจเรียนหนังสือและทำงานไปด้วย
๒. คำสันธานบางคำและสันธานวลีบางวลีแสดงว่า ประโยคหน้าและประโยคหลังมีเนื้อความขัดแย้งกัน เช่น  แต่  แต่ทว่า  แม้  แม้แต่  แม้ว่า  ตัวอย่างเช่น  ตำรวจรู้ตัวผู้กระทำผิดแล้ว แต่ ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ
๓. คำสันธานบางคำและสันธานวลีบางวลีแสดงว่า ประโยคหน้าและประโยคหลังมีเนื้อความให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น  หรือ  หรือไม่ก็ ตัวอย่างเช่น  เธอจะอยู่กับเขาหรือเธอจะไปกับฉัน
๔. คำสันธานบางคำและสันธานวลีบางวลีแสดงว่าประโยคหน้าและประโยคหลังมีเนื้อความเป็นเหตุเป็นผลกัน เช่น จึง  เลย  จน  จนกระทั่ง ตัวอย่างเช่น             เขาทำงานอย่างหนักสุขภาพจึงทรุดโทรม
๕. คำสันธานบางคำและสันธานวลีบางวลีแสดงว่าประโยคหน้าและประโยคหลังมีเนื้อความเกี่ยวข้องกันทางเวลา  เช่น  แล้ว  แล้วจึง  และแล้ว  ต่อจากนั้น  ต่อมา ตัวอย่างเช่น เขามางานเลี้ยงในตอนเช้าต่อจากนั้นตอนบ่ายเขาก็กลับบ้าน
 ๖.คำสันธานบางคำและสันธานวลีบางวลีแสดงว่าประโยคหน้าและประโยคหลังมีเนื้อความเกี่ยวข้องกันในแง่ที่เป็นเงื่อนไข เช่น ถ้า   ถ้า...แล้ว   แม้ว่า  หากว่า  เมื่อ...ก็   หาก...ก็  ตัวอย่างเช่น  ถ้าเรามีความขยันอย่างแท้จริงเราก็ไม่สอบตก







การซ้ำ
หากประโยค ๒ ประโยค มีส่วนกล่าวถึงบุคคล  สิ่ง  เหตุการณ์  การกระทำหรือสภาพเดียวกัน  ประโยคทั้งสองมักจะมีคำหรือวลีที่หมายถึงบุคคล  สิ่ง  เหตุการณ์  การกระทำหรือสภาพนั้น ๆ ปรากฏซ้ำ ๆ การซ้ำคำหรือวลีจึงแสดงความเกี่ยวข้องของประโยคได้ เช่น 
ฉันวางกระเป๋ากับร่มไว้บนโต๊ะ ประเดี๋ยวเดียวกระเป๋าหายไปแล้วร่มยังอยู่
ประโยคหน้าและประโยคหลังกล่าวถึงสิ่งเดียวกันคือ กระเป๋ากับร่มจึงมีคำ กระเป๋ากับร่มซ้ำกัน
หมายเหตุ
๑. ในกรณีที่มีคำซ้ำกันเช่นนี้ คำที่ซ้ำอาจมีคำวิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะ(นิยมวิเศษณ์) นี้  นั้น  โน้น  นี่  นั่น  มาขยาย เพื่อชี้เฉพาะว่าเป็นสิ่งที่กล่าวถึงไปแล้ว  เช่น
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของไทยคือบริเวณเมืองอู่ทอง  ในจังหวัดสุพรรณบุรี  นักโบราณคดีหลายท่านเชื่อว่าบริเวณนี้  น่าจะเป็นศูนย์กลางดั้งเดิมของอาณาจักรฟูนัน
ประโยคหน้าและประโยคหลังกล่าวถึงสิ่งเดียวกัน คือบริเวณนี้เป็นแหล่งโบราณคดี จึงมีคำว่า บริเวณ ซ้ำกันและมีคำ  นี้  ขยายบริเวณ ในประโยคหลังเพื่อช่วยระบุว่าเป็นบริเวณเดียวกันกับที่กล่าวในประโยคแรก
๒. หากคำวิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะใช้ขยายคำในประโยคหน้าอยู่แล้ว คำที่อยู่ในประโยคหลังมักจะไม่มีคำวิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะขยาย เช่น
เด็กคนนี้ มูลนิธิรับผิดชอบค่าเล่าเรียนแม่ของเด็กรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ประโยคหน้าและประโยคหลังมีส่วนกล่าวถึงคนคนเดียวกันและการกระทำเดียวกันจึงมีคำนาม เด็กซ้ำกัน คำว่านี้ขยายคำว่า เด็ก ในประโยคหน้าอยู่แล้วจึงไม่ใช้ในประโยคหลังและมีคำกริยา รับผิดชอบซ้ำกัน
๓. คำที่ขยายคำที่ซ้ำกันนั้น นอกจากคำวิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะแล้ว อาจมีคำชนิดอื่นอีกบ้าง
การละ
ในบางกรณีเมื่อประโยคหน้าและประโยคหลังมีส่วนกล่าวถึงบุคคล สิ่ง เหตุการณ์ การกระทำ หรือสภาพเดียวกัน อาจไม่จำเป็นต้องกล่าวซ้ำ   เช่น
คนขับรถ  กระโดดลงจากรถ  ฉวยกระเป๋าได้  รีบเดินเข้าบ้าน
ประโยคหน้าและประโยคต่อ ๆไป กล่าวถึงบุคคลเดียวกัน คือ คนขับรถ คำนาม คนขับรถเป็นประธานในประโยคหลังด้วยแต่ละไว้
การแทน
ในกรณีที่ผู้พูดหรือผู้เขียนไม่ต้องการใช้วิธีซ้ำหรือวิธีละเมื่อกล่าวถึงบุคคล สิ่ง เหตุการณ์ การกระทำ หรือสภาพเดียวกัน ก็อาจใช้วิธีนำคำหรือวลีอื่นมาแทน การใช้คำหรือวลีอื่นมาแทนจึงแสดงความเกี่ยวเนื่องกันของประโยค เช่น
ลูกชายของหญิงชรา  จากบ้านไปนานแล้ว  เขา อาจเสียชีวิตไปแล้วก็ได้
ประโยคหน้าและประโยคหลังกล่าวถึงบุคคลคนเดียวกันคือ ลูกชายของหญิงชรา   คำสรรพนาม เขา ในประโยคหลัง หมายถึง ลูกชายของหญิงชรา  ที่กล่าวถึงในประโยคหน้า
วิเคราะห์การร้อยเรียงประโยค
วิธีทำให้ประโยคเกี่ยวข้องกันทั้งการเชื่อม  การซ้ำ  การละ และการแทนดังที่กล่าวมาข้างต้น อาจนำไปวิเคราะห์ข้อเขียนที่ปรากฏในที่ต่าง ๆได้ การวิเคราะห์จะทำให้เราเข้าใจความหมายของข้อเขียนอย่างแจ่มแจ้ง และยังเป็นแนวทางในการฝึกทักษะการร้อยเรียงประโยคด้วย
ตัวอย่าง 
ลีซอ เป็นชาวเขาที่มีบุคลิกภาพงดงาม  มีผิวกายค่อนข้างขาว มีร่างระหงและใบหน้าเป็นรูปไข่  ชาวเขาเผ่านี้  ยังชีพด้วยการปลูกข้าว  ปลูกข้าวโพด  และฝิ่น  ลีซอ  ส่วนใหญ่ไม่สูบฝิ่น ในบรรดาหนุ่มลีซอนั้น หาคนติดฝิ่นแทบไม่ได้เลย
ประโยคแรกกล่าวถึงชาวเขาเผ่าลีซอ  ประโยคที่เหลือทั้งหมดมีเนื้อความเกี่ยวกับชาวเขาเผ่านี้  แต่ประโยคที่ ๒ และ ๓ ใช้วิธีไม่เอ่ยชื่อ  ประโยคที่ ๔ ใช้วลี  ชาวเขาเผ่านี้  แทน ประโยคที่ ๕ ใช้การซ้ำคำว่า ลีซอ  และประโยคที่ ๖ ใช้วลี หนุ่มลีซอนั้น เพื่อจำกัดความหมายให้แคบเข้าว่าหมายถึงเฉพาะชายหนุ่มเผ่าลีซอเท่านั้น